เรื่องนี้...HOT จริงๆ

วันพฤหัสบดีที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2555

พริกไทย ปลูกได้ที่ลับแล


พูดถึงพริกไทย หลาย ๆ ท่านคงคิดว่าต้องเป็นไม้ทางภาคตะวันออก ถูกต้องครับถ้าปลูกเป็นอาชีพแล้วก็ต้องยกให้ชาวสวนจันทบุรี แต่พื้นที่อื่น ๆ ก็สามารถปลูกได้เช่นกัน เพราะพริกไทยการนำมารับประทานใช่เพียงแต่เป็นพริกไทยเมล็ดแห้ง ที่เรียกว่าพริกไทยขาว พริกไทยดำ เท่านั้น ยังมีการนำเอาพริกไทยสดมาประกอบอาหารได้อีกด้วย ที่เราเรียกกันว่าพริกไทยอ่อน
 ต้นนี้ขึ้นเสาปูนข้างบ้าน
พริกไทยอ่อน ราคาในตลาดค่อนข้างแพง กิโลละหลัก 100 ขึ้นไป การนำไปประกอบอาหารมีหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น เนื้อหมูสามชั้น หมูป่าผัด ปลาดุก กุ้ง กบ ไก่ เผ็ดพริกไทยอ่อน  วิธีทำก็ทำไม่ยาก เดี๋ยวนี้มีพริกแกงเผ็ดขายทั่วไปทั้งในห้างและในตลาด ก็เอาน้ำมันพืชหรือน้ำมันที่ได้จากการเคี่ยวมันหมู หรือไก่ ก็ได้ ทุบกระเทียมลงไปเจียวพอเหลือง ใส่พริกแกงเผ็ด พัดให้มีกลิ่นหอมของพริกแกงอย่าให้ไหม้ ใส่เนื้อที่ต้องการผัดลงไปคนคลุกเคล้าให้เข้าเนื้อพริกแกง ปรุงด้วยน้ำปลา ตัดน้ำตาลทราย ใส่พริกชี้ฟ้าหรือพริกแดงซอย  ผัดพอสุกยกลงตักใส่จานทานกับข้าวร้อน ๆ หรือจะเป็นกับแกล้มอร่อยถึงใจครับ (อ้าวอย่าหาว่าสอนทำอาหารนะครับ...อยู่บนสวน บนดอยมีอะไรก็ใส่ลงไป หลายคนชิมแล้วบอกอร่อยมาก ถ้าจะเป็นเพราะหิวด้วย..)
ต้นนี้ขึ้นต้นลำไย                             ต้นนี้ขึ้นเสาปูน
การปลูกพริกไทยที่ลับแล ผมใช้กล้ายอดที่ชำใส่ถุงไว้ พอมีรากก็นำไปปลูก ที่สวนผมปลูกให้ขึ้นต้นไม่อื่น เช่นต้นเพกา ต้นแคป่า ต้นลำไยที่ตัดกิ่งออกแล้วและก็ปลูกให้ขึ้นเสาหลักบ้าง แล้วแต่โอกาส ที่ได้ผลดีที่สุดก็ปลูกให้ขึ้นต้นเพกา ต้นลำไยครับ การปลูกให้ขึ้นต้นไม้อื่น ท่านต้องขยันตัดยอดลงทุกปีนะครับ ไม่งั้นสูงสุดกู่ครับ
ต้นนี้ขึ้นต้นเพกา        
การขยายพันธุ์ ก็ใช้เครือที่ไม่ยอมขึ้นหลัก โดยตัดเอาข้อที่มีรากมาปักชำ พอทรงตัวได้ดีก็นำไปปลูก ถ้าฤดูร้อนก็ทำร่มให้ก่อน พอติดแล้วก็ปล่อยให้ขึ้นหลัก ต้องช่วยประคองด้วยนะครับ โดยใช้เชือกฟางมัดติดเสาเพราะต้นเล็กรากยังไม่ยอมเกาะเสา พอตั้งหลักได้คราวนี้ก็ปล่อยตามธรรมชาติ ให้น้ำบ้าง ให้ปุ๋ยบ้างแล้วแต่โอกาส พอถึงฤดูก็ออกผลผลิตให้เชยชม ปีหนึ่ง ๆ ก็มีหลายรุ่นครับ เก็บไปขายที่ตลาดก็ได้ราคาบ้าง ไม่ได้ราคาบ้าง ก็ยังดีครับมีไว้ทำอาหารรับประทานเหลือก็แจกเพื่อนฝูง และขายได้ด้วย กิ่งพันธุ์ที่ร้านขายพันธุ์ไม้มีขาย ไม่แพงครับ ลองปลูกไว้ที่บ้านสักต้นก็ดีนะครับ....
                                                    ออกรุ่นนี้ดกมากทุกต้น                                     ใกล้เก็บได้แล้ว




วันจันทร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2555

งานลางสาด ลองกองหวาน อุตรดิตถ์

 ท่านที่ได้ทราบข่าวเรื่องทุเรียนที่ขึ้นชื่อของอุตรดิตถ์ คือหลงลับแล หมอนทองลับแล พอรู้ข่าวก็เป็นปลายฤดูทุเรียนของลับแลเสียแล้ว ขอเรียนว่าปีนี้ เป็นปีที่ทุเรียนหลงลับแล และหมอนทองลับแล ออกรุ่นสุดท้ายช่วงเดือนสิงหาคมจนถึงต้นเดือนกันยายน ถ้าเป็นหมอนทอง ก็น่าจะถึงปลายเดือนกันยายนเลยเชียว
หลงลับแล                                                              หมอนทอง
ช่วงปลายเดือนกันยายน ตั้งแต่วันที่ 21 กันยายน เป็นต้นไปจนถึงสิ้นเดือน ก็จะมีงานลางสาด ลองกองหวาน จัดขึ้นบริเวณสนามหน้าศาลากลางจังหวัดอุตรดิตถ์ ปีนี้น่าจะมีทุเรียนหมอนทองวางจำหน่ายอยู่บ้าง ก็ลองมาชิมกันนะครับ
งานลางสาด ลองกองหวาน 21 – 30 กย.55 ที่สนามกีฬาหน้าศาลากลางจังหวัดอุตรดิตถ์
จริง ๆ แล้วช่วงปลายเดือนสิงหาคม จะเป็นช่วงที่ลองกองรุ่นที่ 1 ออกสู่ตลาด แล้วตามด้วยรุ่นที่ 2 ช่วงปลายเดือน แต่ปีนี้รุ่นที่ 1 ออกมาสู่ตลาดบ้างแต่มีให้เห็นน้อย ราคาก็พอหาซื้อรับประทานกันได้ รสชาติก็พอไหวแต่จะให้เหมือนช่วงฤดูออกเต็มที่คงไม่เหมือน ช่วงออกเต็มที่ราคาก็คงไม่ลงมากไปกว่านี้ แต่รสชาติรับรองไม่ผิดหวัง ขอเรียนว่าท่านที่เคยทานลองกองตันหยงมัส ขอเรียนว่าลองกองลับแลรสชาติไม่เหมือนแน่น่อน ลองชิมก่อนแล้วท่านจะรู้ว่าลองกองลับแลรสชาติอร่อยไม่เหมือนใคร
ลางสาด ลองกอง มีวางจำหน่ายที่ตลาดผลไม้เทศบาลหัวดง ลับแล
ขอเรียนให้ท่านที่ต้องการซื้อลองกองที่ตลาดผลไม้เทศบาลหัวดงทราบก่อนว่า ถ้าท่านจะซื้อโดยตรงจากชาวสวนที่ใส่รถจักรยานยนต์ ซึ่งมีประมาณ 3 เข่ง ถ้าท่านแบ่งซื้อชาวสวนจะไม่ขายให้ เพราะชาวสวนต้องการขายทั้งรถคือ 3 เข่ง ไม่มีการแยกชั่งกิโลขาย ถ้าท่านจะซื้อต้องไปซื้อตามแผงร้านค้าที่ตั้งอยู่บริเวณตลาดผลไม้เทศบาลหัวดงนั่นแหละครับ
แผงจำหน่ายลางสาด ลองกองทที่ตลาดผลไม้เทศบาลหัวดง ลับแล
สำหรับที่สวนห้วยผึ้งจันทน์ผา ปีนี้ลองกองก็ติดมากพอสมควร รุ่นที่ 1 มีติดไม่มากก็ตัดออกมาแจกญาติพี่น้องบ้าง ส่วนที่เหลือก็เป็นรุ่นที่ 2 ก็น่าจะสุกพอดีกับงานลางสาด ลองกองหวานประจำจังหวัดพอดี
ลองกองที่ติดผลในสวนห้วยผึ้งจันทร์ผา
ท่านที่ต้องการรับประทานหลงลับแล หมอนทองลับแล ลองกองลับแล หรือลางสาดลัแล ช่วงนี้ก็ขอเชิญครับ  หาซื้อได้ที่ตลาดผลไม้เทศบาลหัวดง อำเภอลับแล จังหวัดอุตรดิตถ์ ราคาไม่แพงครับ


วันอาทิตย์ที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2555

สังสรรค์บนสวนห้วยผึ้งจันทน์ผา

เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2555 ได้มีน้อง ๆ ที่เคยร่วมงานกันและเพื่อน ๆ  ชาวบ้าน ประมาณ 4 – 5คน ขึ้นไปสังสรรค์กันบนสวนห้วยผึ้งจันทร์ผา ทุกคนได้มีการประสานงานให้ผมเตรียมอาหารและให้เตรียมเครื่องเสียงคาราโอเกะ เพราะโดยปกติแล้วผมไม่ได้พักที่สวน อุปกรณ์เครื่องเสียงต้องเตรียมไปจากบ้าน
ศาลาก้อนเส้าเตาไฟ นั่งสังสรรค์และประกอบอาหาร
สำหรับเรื่องอาหารนั้น มีอยู่แล้วส่วนใหญ่ในสวน ให้ผู้ช่วยผู้ใหญ่มาจับปลาดุกทีบ่อพักน้ำ ผมแวะซื้อหมูจากตลาด ซื้อต้มแซบจากร้านประจำ และเตรียมย่างปลาดุกเอาเนื้อทำลาบปลาดุก เอาหัวและหนังปนกับปลาย่างทำต้มโคล้ง  สำหรับหมูก็ย่างจิ้มน้ำจิ้มสูตรของผมเอง  การย่างก็ย่างบนเตาก้อนเส้านั่นแหละครับ
ย่างปลาดุกบิ๊กอุยตัวละกิโลเศษสำหรับทำลาบ หัวและครีบหนังปนกับปลาย่างทำต้มโคล้ง
วันนี้ก็ช่างมีอุปสรรคมากมาย น้อง ๆ ที่รับราชการติดประชุมกันทุกคน กว่าจะเสร็จก็เกือบ 17.00 น. ไม่เป็นไร ยังมีชาวบ้าน 2 – 3 คน มาช่วยและเริ่มเผาหัวกันไปก่อน สำหรับเครื่องเสียงคาราโอเกะ ตอนที่ผมมาทำสวนใหม่ๆ เอาเครื่องใหญ่ ๆ ที่บ้านมา ขนย้ายลำบากมาก ตอนนี้ทำให้เหมาะกับสถานการณ์ เรียกว่าเล็กพริกขี้หนู น้อง ๆ ที่ขึ้นไปวันนี้ชอบใจกันใหญ่บอกว่านี่คือนวตกรรมใหม่สำหรับออกให้สุขศึกษา ....
หมูย่างน้ำจิ้มรสเด็ดทำเอง
เครื่องขยายเสียงซื้อมาจากห้างใน กทม.ราคา 900 บาท ลำโพงก็เอาถึงน้ำมันมาเจาะ แล้วเอาดอกลำโพงที่ซื้อมาตัวละไม่เกิน 100 บาท มาใส่เข้าไป ใช้วิชาการเครื่องเสียงหน่อยโดยเอา C ค่า 4.7K มาตัดเสียงเบสสำหรับลำโพงเสียงแหลม แค่นี้ก็ได้ลำโพงเสียงกลางและเสียงสูงเหลือกินเหลือใช้ สำหรับงานที่มีคนไม่เกิน 10 คน ปัญหาอยู่ที่เสียงเบส พอดีที่บ้านมี subwoofer สำหรับเติมเสียงเบสอยู่ ก็ยกมาด้วย ต่อเข้ากับ mixer(เครื่องผสมเสียงโดยมีสัญญาณจากคอมพิวเตอร์ และสัญญาณไมค์มาผสมกัน) 
     ลำโพงราคา 290 บาท                        ลำโพงขับเสียงต่ำ subwoofer
ขวาสุดเป็นเครื่องขยายขับลำโพงถังน้ำมัน กลางเป็นเครื่องผสมเสียง ซ้ายโน๊ตบุ๊คป้อนดนตรี
 พอทุกคนมาถึงก็มืดค่ำพอสมควร ผมไม่ได้เอากล้องไป เลยไม่มีภาพบรรยากาศของการสังสรรค์มาฝาก แต่ตอนกลางวันได้ถ่ายภาพการเตรียมอาหารและเครื่องเสียงไว้ให้ท่านได้ชม เผื่อจะเป็นแนวทางการประยุกต์ใช้งานให้ง่าย ๆ  ความจริงเครื่องเสียงในรถผมก็ใช้ได้ แต่บังเอิญระยะนี้ไฟไม่เข้าเครื่องขยายเสียงกลางและเสียงสูง เลยต้องเอาเครื่องจากบ้านไป สะดวกใช้ ง่ายต่อการขนย้ายครับ....การนำเสนอวันนี้อยากให้ท่านได้รู้ถึงการประยุกต์ใช้เครื่องเสียงจากที่ใหญ่โตขนย้ายลำบากมาเป็นเครื่องเล็ก ๆ ขนย้ายง่าย แต่คุณภาพคับดอยครับ.....
ขณะสังสรรค์ยุงและแมลงเยอะก็ใส่ตะไคร้หอมลงไปในเตาก้อนเส้าเพื่อไล่แมลงก็อยู่กันได้สบาย
'อยู่ป่าอยู่ดอยต้องง่าย แต่ให้ความประดับใจของผู้ไปเยือน'

วันอาทิตย์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2555

แกงหน่อไม้อาหารกลางวันบนสวนห้วยผึ้งจันทน์ผา

ปกติไปสวนทุกวันแม่บ้านก็จะเตรียมอาหารอาหารใส่ปิ่นโตให้ไปทานด้วย เพราะผมเป็นคนทานอาหารเช้าสาย ๆ  แม่บ้านก็จะเตรียมอาหารใส่ปิ่นโตสำหรับรับประทาน 2 มื้อ คือมื้อสาย ๆ ก่อน 10 โมง และมื้อเที่ยงก็จะประมาณบ่ายโมงเศษๆ แล้วแต่ใช้พลังมากหรือน้อย
 ต้มหน่อไม้กับใบย่านาง ใช้เวลานานพอสมควร
วันนี้เป็นวันอาทิตย์ แม่บ้านก็ไปด้วย พร้อมด้วยลูกสมุน 2 ตัว ก็พากันไปแต่เช้า พอไปถึงก็จัดเก็บผลผลิต ไม่ว่าจะเป็นแก้วมังกร และส้มโอ และก็เก็บผักสวนครัวด้วยก็มีพริกหนู ถั่วฝักยาว บวบ ผักชะอม หน่อไม้ ได้มาพอประมาณคงไม่พอขาย ก็คงเอาไปแจก ๆ ขาประจำที่ทำอาหารทานกันบ่อย ๆ ที่ตลาดผลไม้เทศบาลหัวดง
เสร็จเรียบร้อย
ใบหอมพาน การทานจะใช้ใบอ่อนหรือยอดอ่อน
 พอใกล้เวลาอาหารกลางวัน แม่บ้านก็อยากทานแกงหน่อไม้ใบย่านางขึ้นมา ก็เลยจัดการซอยหน่อไม้ ไปหาใบย่านางนำมาคั้นเอาน้ำ  เก็บพริกขี้หนูมาโขลก ซอยบวบ เด็ดใบชะอม ไปดูที่ตู้เก็บกับข้าวเห็นกระปุกปลาร้าที่มีไว้ประจำที่สวน ครบเครื่องก็ทำการต้มหน่อไม้ที่ซอยกับใบย่านางให้หน่อไม้หมดความหืนและหมดขม เสร็จแล้วเติมเครื่องแกงที่โขลกไว้ ใส่ปลาร้านิดหน่อย ปรุงด้วยน้ำปลา ก็ได้แกงหน่อไม้ใบย่านางเป็นอาหารเพิ่มอีกหนึ่งอย่างนอกเหนือจากกับข้าวที่เอาไปจากบ้าน เที่ยงพอดีจัดการรับประทานอย่างอร่อย ตามประสาคนสวน คนดอย
กาต้มน้ำ และกาน้ำชาสมุนไพร
ผลไม้มีไว้ประจำอยากก็เด็ดทานเหลือก็โยนลงบ่อปลา
ของหวานวันนี้เป็นผลไม้กับกาแฟในกระบอกไม้ไผ่
อาหารหวานวันนี้ไม่เคยขาด ก็คือกล้วยน้ำว้าสุกซึ่งมีแขวนไว้ที่ศาลาก้อนเส้าอยู่แล้ว กาน้ำต้มไฟฟืนนอกจากจะมีน้ำร้อนสำหรับชงกาแฟกาใบใหญ่ ก็ยังมีน้ำชาสมุนไพรกาใบเล็ก  ผลไม้วันนี้ก็มีส้มโอ แก้วมังกร กล้วยน้ำว้าสุก ก็พอได้ครบทั้งอาหารคาวหวาน เหมาะสำหรับชาวสวนอย่างเรา ๆ ละครับ  การทานแกงหน่อไม้ของชาวลับแลจะมีใบไม้ชนิดหนึ่งกลิ่นหอม ๆ รสเปรี้ยวนิด ๆ เป็นเครื่องเคียง ชาวลับแลเรียกใบหอมพาน (ภาคกลางเรียกอะไรผมไม่แน่ใจ)  ซึ่งผักชนิดนี้ทานกับน้ำพริกแจ่วก็อร่อยมาก......

วันเสาร์ที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2555

น้ำสมุนไพรบนสวน..ห้วยผึ้งจันทร์ผา

ศาลาก้อนเส้าเตาไฟ นอกจากจะเป็นที่นั่งพักผ่อน และที่ประกอบอาหารสำหรับสังสรรค์ยามเลิกงานตอนเย็นแล้ว ตอนกลางวันก็มีการก่อไฟฟืนสำหรับไล่ยุง  ตอนพักกลางวันหลังรับประทานอาหารแล้วบางคนก็ชงกาแฟดื่ม และดื่มน้ำสมุนไพรแทนน้ำชา เพราะได้ตั้งกาน้ำร้อนไว้ตลอดเวลาบนไฟฟืนที่ก่อไล่ยุง
                                    ศาลาก้อนเส้าเตาไฟ                               ก่อนไฟไล่ยุง
 ผลของการต้มน้ำบนเตาไฟฟืนนี้ ก็จะได้น้ำสมุนไพรโดยต้มในกาน้ำใบเล็ก ส่วนกาลูกใหญ่ก็จะต้มน้ำร้อนธรรมดาสำหรับชงกาแฟ หรือใช้อย่างอื่น สำหรับน้ำสมุนไพรก็หาเก็บเอาในสวน หรือข้างทางเข้าสวน ไม่ว่าจะเป็น ย่านาง มะรุม เตยหอม รางจืด ตะไคร้หอม ตะไคร้บ้าน กระชาย หรือถ้าจัดหนักก็จะมี ฮ่อสะพายควาย ซึ่งตัวนี้ชาวบ้านมักจะใช้ดองเหล้า หรือบางครั้งก็จะมีเห็ดหลินจือที่เอาไปจากบ้าน
ตะไคร้หอม
สูตรน้ำสมุนไพรที่ต้ม ก็แล้วแต่โอกาส ถ้าขยันก็จะเก็บเอาที่อยู่ไกลที่พัก ถ้าขี้เกียจก็หาเอาใกล้ ๆ ที่พัก มีสูตรที่ทำอยู่โดยไม่ต้องอิงตำรา บางวันก็จะเป็นสูตร ชาย รุม ไคร้ เตย  หรือ นาง รุม เตย ชาย  หรือ ฮ่อ รุม จือ ไคร้ หรือ ชาย จืด 2 ไคร้ ฯลฯ ก็แล้วแต่โอกาสที่จะขยันมากหรือขี้เกียจ   (ชาย = ต้นกระชายเหง้ากระชาย , รุม = มะรุมใช้ลำต้น หรือเปลือกย่างไฟก่อนนำมาต้ม  ,ไคร้ = ตะไคร้บ้าน ตะไคร้หอม, นาง =ย่านางใช้ทั้งเครือและใบ ,จือ = เห็ดหลินจือที่มีขายทั่วไป , ฮ่อ = ฮ่อสะพายควายใช้ต้นย่างไฟก่อนนำมาต้ม)
ตะไคร้บ้าน
ตอนแรก ๆ การดื่มน้ำสมุนไพรก็ใช้แก้วกาแฟ แต่ระยะหลัง ๆ ก็ไปตัดไม้ไผ่ซางบนดอยมาทำเป็นกระบอกสำหรับใส่ดื่ม ทำเป็น 3 ขนาด มีเล็ก กลาง ใหญ่ สำหรับขนาดเล็กไม่ได้ใช้ดื่มน้ำสมุนไพร แต่เอาไว้เป็นจอกยาดอง ส่วนขนาดกลางใช้สำหรับชงกาแฟหรือใส่น้ำสมุนไพรสำหรับดื่ม ส่วนขนาดใหญ่ใช้สำหรับดื่มน้ำสมุนไพรอย่างเดียว เพราะสามารถกำได้เต็มมือ โดยใช้ฝ่ามือทั้ง 2 ข้างคลึงกระบอกไปมาเพื่อให้ความร้อนของน้ำสมุนไพรส่งมาที่มือ ทำให้รู้สึกร้อนมือ วิธีนี้แก้ปวดนิ้ว ปวดผ่ามือได้ดี รวมถึงฤดูหนาวก็จะอบอุ่นมือดี
                                                                   รางจืด                                           มะรุม
                                                        ฮ่อสะพายควาย                                          เตยหอม
การใช้กระบอกไม้ไผ่ ก็จะนำมาลวกน้ำร้อนก่อน แล้วจึงใส่น้ำสมุนไพร หรือชงกาแฟ เมื่อรับประทานเสร็จก็จะล้างแล้วนำไปวางไว้บนหิ้งเหนือเตาไฟ เพื่อรมควันรับความร้อนป้องกันการเกิดรา และแมลงมอดก็จะไม่เจาะทำลาย ถ้าจะให้ดีต้องทำใหม่ ๆ แล้วนำมาใส่กาแฟ หรือน้ำสมุนไพร ก็จะได้กลิ่นหอมของไม้ไผ่ด้วย
กระบอกไม้ไผ่ ขนาดต่าง ๆ
มีญาติๆ และผู้มีเกียรติ ขึ้นไปบนสวน และได้ลองชิมน้ำสมุนไพร บางคนไม่กล้าชิมแต่พอบอกว่าลูกสาวไปประชุมเชียงใหม่เคยได้ซื้อตะไคร้หอมอบแห้งมาฝากให้ชงดื่ม ถุงโตพอประมาณ ราคา 500 กว่าบาท แต่นี่มาถึงสวนและได้รับประทานสมุนไพรสด ๆ ร้อน ๆ กลิ่นหอมกว่าอบแห้ง ทุกคนก็ลองรับประทานแล้วติดใจไปตาม ๆ กัน เดี๋ยวนี้น้อง ๆ ในหมู่บ้านห้วยผึ้งบางคนอยากรับประทานกาแฟ จะไม่ออกไปที่ตลาดแล้วจะขับรถขึ้นดอยไปที่สวนห้วยผึ้งจันทร์ผา รับประทานกาแฟ จิบน้ำสมุนไพร ฟังเสียงนกเขา นกหัวจุก พูดคุยแลกเปลี่ยนเรียนรู้เรื่องการทำสวนกัน ถ้าท่านมีโอกาสแวะไปชมสวนห้วยผึ้งจันทน์ผา ก็อย่าลืมทวงถามหาน้ำสมุนไพร บริการฟรี ที่ศาลาก้อนเส้าเตาไฟ ครับ
ดื่มแล้วล้างกระบอกเก็บบนหิ้งเหนือเตาไฟ